เว็บไซต์เนื้อหาหรือบล็อกเป็นสื่อกลางที่ยอดเยี่ยมสำหรับการโพสต์เนื้อหาที่เป็นประโยชน์กับกลุ่มของคุณ เพื่อสร้างความตระหนักและสร้างความไว้วางใจกับผู้ชมของคุณ
ยิ่งคุณมีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ในบล็อกมากเท่าไร ผู้ชมก็จะยิ่งเชื่อมั่นในคำแนะนำของคุณมากขึ้นเท่านั้น
ข้อดีและข้อเสียของการมีบล็อกเป็นอย่างไรบ้าง มาดูกัน
ข้อดีของบล็อก | ข้อเสียของบล็อก |
ควบคุมสิ่งที่คุณโพสต์ได้อย่างสมบูรณ์ | ต้องรู้เรื่อง SEO |
จะไม่ได้รับผลกระทบเมื่อโซเชียลมีเดียล่ม | ต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิคในการจัดการเว็บไซต์ |
แต่ไม่ต้องกังวลไป เราพร้อมช่วยเหลือคุณในการทำให้บล็อกของคุณพร้อมใช้งานโดยไม่ต้องใช้ศัพท์เทคนิคมากมายพร้อมกับวิธีการต่าง ๆ
เตรียมจ่ายเงินประมาณ 70 ถึง 100 ดอลลลาร์สหรัฐต่อปีสำหรับเว็บโฮสติงคุณภาพดีและการจดโดเมนเนม
4 เรื่องที่คุณต้องรู้เพื่อเป็นเจ้าของบล็อก
ขั้นตอนที่ 1: เลือกระบบจัดการเนื้อหา (CMS)
ระบบจัดการเนื้อหา (CMS) ช่วยให้คุณจัดระเบียบและเผยแพร่เนื้อหาของคุณได้โดยไม่ต้องรู้ HTML หรือทักษะการเขียนโค้ดแม้แต่น้อย
มี CMS ยอดนิยมมากมาย ตั้งแต่ตัวสร้างเพจแบบลากและวางที่เหมาะสมกว่าสำหรับเว็บไซต์ที่มีสื่อจำนวนมาก ไปจนถึง WordPress ยอดนิยม ซึ่งเป็น CMS ที่บล็อกเกอร์ส่วนใหญ่เลือกใช้ CMS แต่ละระบบก็ข้อดีและข้อเสียต่างกันไป
ต่อไปนี้คือระบบจัดการเนื้อหายอดนิยมสำหรับการตั้งและจัดการเว็บไซต์บล็อกและสื่อ
CMS | คำอธิบาย | ดีที่สุดสำหรับ | ข้อดี | ข้อเสีย |
CMS ที่นิยมใช้มากที่สุดในโลก (ผู้ใช้มากกว่า 30 ล้านคน) | ต้องเรียนรู้วิธีใช้สักหน่อย แต่ดีที่สุดสำหรับบล็อกแบบข้อความ | – ระบบหลังบ้าน CMS จัดการง่าย ทั้งการแก้ไขเพจและอัปโหลดเนื้อหาใหม่ – เข้าถึงปลั๊กอินมากกว่า 55,000+ แบบ – ธีมปรับย่อขนาดแบบ Responsive ได้ในทุกอุปกรณ์ | – ต้องใช้ปลั๊กอินตัวสร้างหน้าเพื่อสร้างหน้าแลนดิงเพจ – ปลั๊กอินและธีมหลายตัวอาจใช้งานร่วมกันได้ไม่ดีเป็นบางครั้ง – ต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิคเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความเร็วเว็บไซต์และทำ SEO | |
CMS ที่สร้างสร้างเว็บไซต์แบบลากและวาง ฟรีและเป็นมิตรต่อผู้ใช้ | ดีเยี่ยมสำหรับผู้เริ่มต้น สำหรับหน้าแลนดิงเพจและเนื้อหาที่มีสื่อจำนวนมาก | – เรียนรู้ได้ง่ายและรวดเร็ว – เว็บไซต์เร็วตั้งแต่แรก – เทมเพลตต่างๆ ให้เลือกโดยไม่ต้องเริ่มสร้างใหม่จากศูนย์ – อินเทอร์เฟซแบบลากและวางที่ใช้งานง่าย – สามารถดาวน์โหลดฟีเจอร์เสริมได้จาก Wix App Market เพื่อเสริมเว็บไซต์ของคุณ – SEO, โซเชียลมีเดีย และการจัดการอีเมลพร้อมในตัว เพื่อสร้างตัวตนออนไลน์ของเว็บไซต์ – ฟรี HTTPS และตัวสร้างโลโก้ การสนับสนุนลูกค้าที่เชื่อถือได้ | – ไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้เทมเพลตใหม่ ๆ ได้ – แผนฟรี: บังคับใส่แบรนด์ Wix – แผนแบบชำระเงินสำหรับเว็บไซต์เดียว – ไม่สามารถส่งออกเนื้อหาจากเว็บไซต์ | |
แพลตฟอร์ม CMS ที่สร้างสร้างเว็บไซต์แบบลากและวาง ฟรีและเป็นมิตรต่อผู้ใช้ | ดีเยี่ยมสำหรับผู้เริ่มต้น สำหรับหน้าแลนดิงเพจและเนื้อหาที่มีสื่อจำนวนมาก | – เทมเพลตตาม ‘ลุคและฟีล’ และที่ปรับย่อตามขนาดจอให้เลือกหลากหลาย – ระบบหลังบ้านที่ใช้งานง่ายสำหรับการปรับแต่งเนื้อหาและการออกแบบ ใช้ภาพสต็อก – ควบคุมการตั้งค่า SEO พื้นฐาน – เฝ้าดูสถิติ | – การปรับแต่งที่จำกัด – มีปลั๊กอินจำกัด – ไม่มีแผนฟรี |
ไม่มี CMS ไหนที่สมบูรณ์แบบ แต่ WordPress เหมาะสมที่สุดหากคุณวางแผนที่จะมีบล็อกแบบข้อความ
เมื่อคุณตัดสินใจเลือกแพลตฟอร์ม CMS สำหรับเว็บไซต์ของคุณแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการจดโดเมนเนม
ขั้นตอนที่ 2: จดโดเมนเนม
โดเมนเนมคือที่อยู่ URL ของเว็บไซต์คุณ ลิงก์นี้คือสิ่งที่จะถูกแชร์และให้ผู้อื่นมองเห็นได้ ฉะนั้นการซื้อโดเมนเนมที่สะท้อนถึงแบรนด์ของคุณจึงมีความสำคัญ
ผู้รับจดทะเบียนชื่อ อย่างเช่น namecheap.com เป็นเว็บไซต์ที่คุณสามารถซื้อโดเมนเนมได้ คิดเสียว่าเป็นการเสียค่าใบอนุญาตรายปี เพื่อเป็นเจ้าของโดเมน URL เฉพาะ
เคล็ดลับในการเลือกโดเมนเนม: เลือกชื่อที่จำ ออกเสียง และโปรโมตออนไลน์ได้ง่าย เลือกชื่อที่สั้นและจำได้ง่าย
ในสมัยก่อน ผู้คนซื้อโดเมนเนมแยกต่างหากจากผู้รับจดทะเบียน เช่น NameCheap แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ เว็บโฮสติงจำนวนมากได้รวมการจดทะเบียนโดเมนเนมกับแพ็กเกจเว็บโฮสติง มาดูวิธีกัน:
ขั้นตอนที่ 3: เลือกเว็บโฮสติงที่เชื่อถือได้และมีการสนับสนุน
เว็บโฮสติงให้เช่าพื้นที่บนเซิร์ฟเวอร์เพื่อจัดเก็บเนื้อหาทั้งหมดของเว็บไซต์ของคุณ
ดังนั้นเมื่อมีคนต้องการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณ เนื้อหาจะโหลดจากเซิร์ฟเวอร์ของเว็บโฮสติง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องใช้เว็บโฮสติงที่มีความเร็วสูง
หลักการง่าย ๆ ในการเลือกเว็บโฮสติงที่ยอดเยี่ยมคือ:
- การบริการลูกค้าที่เป็นเลิศ – สำหรับมือใหม่ คุณจะต้องใช้ความช่วยเหลือด้านเทคนิคเยอะ
- บทความ “วิธีการทำ” ที่ครอบคลุมและเข้าใจง่ายในฐานความรู้ เนื่องจากคุณจะมาอ่านบทความนี้บ่อย ๆ เมื่อพบปัญหาทางเทคนิค (ซึ่งคุณจะพบแน่นอน)
- ได้รับคำแนะนำโดยคนในเครือข่ายของคุณ
ต่อไปนี้คือบริการเว็บโฮสติงที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลและท้องถิ่นที่ควรดู:
ขั้นตอนที่ 4: คุณควรจ่ายหรือใช้เว็บโฮสติงฟรี
คุณจำเป็นต้องจ่ายเงินสำหรับเว็บโฮสติงหรือไม่ ถ้ามีเว็บโฮสติงฟรีแล้ว เราขอสรุปของข้อดีและข้อเสียไว้:
ข้อดีของโฮสติงแบบจ่ายเงิน | ข้อเสียของโฮสติงฟรี |
ใช้โดเมนเนมของคุณ (www.example.com) และดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น | จะมีชื่อแบรนด์ของโฮสต์ต่อท้าย (www.example.wix.com) |
คุณเป็นเจ้าของไซต์และทำทุกอย่างที่คุณต้องการอย่างการวางโฆษณา | คุณไม่ได้เป็นเจ้าของเว็บไซต์นั้นและจะมีข้อจำกัดในสิ่งที่คุณสามารถทำได้ |
การสนับสนุนลูกค้าแบบเร่งด่วน | ขีดจำกัดในการสนับสนุนลูกค้าและแบนด์วิธของเซิร์ฟเวอร์ |
หากคุณจริงจังกับการสร้างแบรนด์ส่วนตัวในระยะยาว เราขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้จ่ายเงินให้เว็บโฮสติง
สำหรับมือใหม่ เราขอแนะนำให้คุณตั้งเว็บไซต์ของคุณด้วย WordPress CMS และเว็บโฮสติงแบบจ่ายเงิน เพราะ:
- ง่ายต่อการจัดการเนื้อหาของคุณในแพลตฟอร์มแบบครบวงจร
- ด้วยโดเมนเนมที่คุณซื้อ คุณจะสามารถควบคุมเว็บไซต์ของคุณได้ทั้งหมดและมีตัวเลือกในการส่งออกเนื้อหาของคุณ
- อัปเดตเว็บไซต์ตามใจของคุณ รวมถึงการเพิ่มปลั๊กอิน WordPress ทั้งแบบฟรีและจ่ายเงิน
- ด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ที่คุณสามารถเรียกได้ว่าเป็นของคุณเอง และควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ คุณจะถูกมองว่าเป็นผู้มี
อำนาจในกลุ่มของคุณ ด้วยเหตุนี้ คำแนะนำของคุณจะได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังมากขึ้น และสิ่งนี้จะส่งผลให้มียอดขาย Affiliate มากขึ้น
เราหวังว่าบล็อกนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณ เมื่อคุณตั้งเว็บไซต์ของคุณแล้ว ให้ลงทะเบียนเป็นพาร์ทเนอร์กับ Involve ซึ่งคุณสร้างรายได้จากการแนะนำออนไลน์ได้!